แนวคิดการออกแบบ
ถาม :
โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ มีแนวคิดในการออกแบบอาคาร และจัดสรรพื้นที่ภายในโครงการอย่างไร ? ตอบ :
แนวคิดหลักในการออกแบบจะคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และความสะดวกสบายในการใช้สถานที่ ทั้งของผู้อยู่ ซึ่งก็คือ ข้าราชการและพนักงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามาเช่าพื้นที่ และผู้มาเยือน ได้แก่ประชาชนผู้มาติดต่อหน่วยงานราชการ แขกคนสำคัญของหน่วยงานต่าง ๆ หรือแม้แต่แขกบ้านแขกเมือง และสร้างประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม สามารถสรุปได้ดังนี้
แสดงความโดดเด่น เป็นศูนย์ราชการไทย ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่าย ทันสมัยในรูปลักษณ์ของ “modern office” ที่มีความงามสง่า ภูมิฐาน มีความเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในศูนย์ราชการฯ และเป็นศักดิ์ศรีของประเทศชาติสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต คำนึงถึงสุขภาพ สวัสดิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการทำงาน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีในสถานที่ทำงานให้เป็น “อาคารสุขภาพดี” รวมทั้งมีการคัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานให้กับข้าราชการยุคใหม่สนองประโยชน์ใช้สอย มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า ประหยัด และง่ายต่อการบำรุงรักษา สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยงานที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ ตามความเหมาะสม รวมทั้งสามารถรองรับการขยายตัวของแต่ละหน่วยงานในอนาคตได้อีกด้วยสะดวกในการมาติดต่อ มีการออกแบบเป็นอาคารขนาดใหญ่รวมหลายหน่วยงานไว้ด้วยกันโดยจัดระบบทางสัญจรภายในอาคารให้สัมพันธ์กับพื้นที่ใช้สอย และจัดพื้นที่สำนักงานเป็นหมวดหมู่ตามความสัมพันธ์ของกลุ่มงาน ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการเกิดความสะดวกในการมาติดต่อหน่วยงาน รวมทั้งประหยัดเวลาในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายใน เพราะจะใช้ระยะทางสั้นกว่าประหยัดพลังงาน มีวัตถุประสงค์ให้เป็น “นวัตกรรมต้นแบบ” ของอาคารในอนาคต เป็นอาคารประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่สร้างมลภาวะ เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยประหยัดค่าก่อสร้าง อาจกล่าวได้ว่า ศูนย์ราชการฯ แห่งนี้ เป็นการเปิดมิติใหม่ของสถานที่ราชการไทยอย่างแท้จริง
ถาม :
การจัดสรรพื้นที่ใช้งานสำหรับแต่ละหน่วยงาน มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร ตอบ :
โครงการศูนย์ราชการฯ ได้จัดสรรพื้นที่ให้หน่วยงานต่าง ๆ โดยพิจารณา ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานการจัดสรรพื้นที่ของสำนักงบประมาณ พ.ศ. 2521 ประกอบด้วย
พื้นที่ทำงาน คำนวณจากจำนวนบุคลากร ณ ปัจจุบัน โดยจำแนกตามระดับชั้น (ตามซี) คูณด้วยจำนวนพื้นที่/คน ตามเกณฑ์มาตรฐานอาคารที่ทำการของราชการ พ.ศ. 2521พื้นที่สนับสนุน แบ่งเป็นพื้นที่สนับสนุนการใช้งานทั่วไป เช่น ห้องประชุมเล็ก (น้อยกว่า 50 คน) ห้องเก็บเอกสาร ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้ มีพื้นที่ไม่เกิน 20-25% ของพื้นที่ทำงานพื้นที่สนับสนุนการทำงานตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ต้องทำความตกลง กับกรมธนารักษ์เป็นรายกรณี รายหน่วยงาน เช่น ห้องพิจารณาคดี ห้องฝึกอบรม เป็นต้นพื้นที่ส่วนกลางที่ทุกหน่วยงานใช้ได้ร่วมกัน เช่น ห้องประชุม (ขนาด 50 คนขึ้นไป) ห้องสมุด ห้องพยาบาล ห้องสันทนาการ ร้านค้า เป็นต้น
ถาม :
การวางผัง และการออกแบบช่วยให้ศูนย์ราชการแห่งนี้ เป็นอาคารประหยัดพลังงาน “Energy saving complex” ได้อย่างไร ? ตอบ :
โครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ มีแนวคิดในเรื่องของการประหยัดพลังงาน โดยมีการวางผังและออกแบบอาคารเพื่อช่วยในการประหยัดพลังงาน ดังนี้
การวางผังเพื่อเอื้ออำนวยต่อการประหยัดพลังงานการปรับปรุงสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยในการประหยัดพลังงาน โดยการออกแบบให้มีการใช้ต้นไม้ใหญ่ภายในโครงการ การเลือกใช้วัสดุปูพื้นที่เหมาะสม และไม่เป็นแหล่งสะสมความร้อนออกแบบให้มีสวนบนหลังคา ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศที่สวยงามแล้ว ยังเป็นแหล่งสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้แก่ระบบไหลเวียนอากาศในอาคารด้วยการออกแบบให้มีบ่อน้ำรอบอาคาร เพื่อช่วยลดอุณหภูมิให้แก่สภาพแวดล้อม และยังเป็นแหล่งระบายความร้อนให้แก่ระบบปรับอากาศ จึงทำให้อาคารนี้ ไม่จำเป็นต้องมี Cooling Towerการออกแบบโดยคำนึงถึงการไหลเวียนอากาศ เพื่อช่วยในการกำหนดทิศทางการเข้าออกอาคารให้เหมาะสม และช่วยลดการรั่วซึมของอากาศการออกแบบอาคารเพื่อช่วยในการประหยัดพลังงานออกแบบเป็นอาคารเดียว เพื่อลดพื้นที่เปลือกอาคารภายนอก ซึ่งเป็นแหล่งถ่ายเทความร้อน ทำให้อัตราส่วนพื้นที่ใช้งานต่อพื้นที่ผิวเหลือเพียง 1.7 ในขณะที่อาคารทั่วไปอัตราส่วนพื้นที่ใช้งานต่อพื้นที่ผิวอยู่ที่ประมาณ 2.4การเลือกใช้วัสดุเปลือกอาคารที่มีศักยภาพในการป้องกันความร้อนดีมาก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนเข้ามาในอาคารออกแบบให้มีอาคารศูนย์รวม (Energy Center) เพื่อเป็นสถานที่ควบคุมดูแลการใช้พลังงานในโครงการ และเป็นแหล่งควบคุมดูแลงานวิศวกรรมระบบทุกระบบใช้ระบบผลิตไฟฟ้าร่วมกับระบบความเย็นแบบ Co – Gen โดยการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ
ถาม :
หลักสำคัญของการประหยัดพลังงานสำหรับอาคารศูนย์ราชการฯ คืออะไร? ตอบ :
หลักสำคัญของการประหยัดพลังงาน คือ การลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ ซึ่งเป็นระบบที่ต้องใช้พลังงานสูง ด้วยการ
การออกแบบเป็นอาคารปิด ที่ป้องกันความร้อน ความชื้นจากภายนอก มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของอากาศที่เข้าสู่อาคารให้มีความเหมาะสมการรักษาอุณหภูมิตึกให้เย็นตลอดเวลา ด้วยวัสดุก่อสร้างที่เก็บรักษาความเย็น ได้ดี ขณะเดียวกันจะมีการเดินเครื่องส่งความเย็นในเวลากลางคืน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนอากาศเย็นภายในอาคาร ให้ผนังและพื้นอาคารเก็บสะสมความเย็นไว้ และนำความเย็นที่เก็บไว้มาคายให้ตัวอาคารในเวลากลางวันการเก็บกักน้ำเย็น โดยมีถังเก็บน้ำเย็น เพื่อนำมาเสริมระบบทำความเย็นในเวลากลางวัน ช่วยลดการทำงานของเครื่องทำน้ำเย็นในเวลากลางวันได้ถึง 3,000 ตัน จากหลักการดังกล่าว ส่งผลให้อาคารศูนย์ราชการฯ สามารถประหยัดพลังงานในการปรับอากาศได้ถึง ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป
ถาม :
ระบบ Co-Generation คืออะไรและมีหลักในการทำงานอย่างไร ? ตอบ :
ระบบ Co-Generation คือ ระบบผลิตน้ำเย็นด้วยระบบพลังงานร่วม ความร้อนและไฟฟ้า โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือ NG เป็นเชื้อเพลิง หลักการทำงานของ ระบบCo-Generation เริ่มจากการนำก๊าซธรรมชาติ (NG) มาใช้ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแล้วนำไอร้อนที่เหลือจากการผลิตไฟฟ้ามาใช้ผลิตน้ำเย็น โดยหลักการดังกล่าวทำให้ประสิทธิภาพการใช้ก๊าซ NG เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 จากเดิมที่นำมาผลิตไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจะเป็นการใช้ประสิทธิภาพของก๊าซ NG ได้เพียงร้อยละ 50 เท่านั้น
ถาม :
การนำ ระบบ Co-Generation มาใช้ในศูนย์ราชการฯ เกิดขึ้นจากหน่วยงานใดบ้าง ? ตอบ :
การนำระบบ Co-Generation มาใช้กับศูนย์ราชการฯ เป็นความร่วมมือของ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โดย ปตท.และ กฟน. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งสร้างท่อก๊าซธรรมชาติเข้าสู่โครงการฯ เพื่อนำมาใช้ผลิตน้ำเย็นเพื่อจำหน่ายให้ ธพส.สำหรับใช้ในระบบปรับอากาศของศูนย์ราชการฯ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 750 ล้านบาท ทั้งนี้มีเป้าหมายจะเริ่มจำหน่ายน้ำเย็นด้วยระบบ Absorption Chiller สำหรับระบบปรับอากาศได้ภายในเดือนมิถุนายน 2551 และคิดอัตราค่าทำความเย็นในราคาพิเศษ คือ 5.30 บาท ต่อ Ton-Hour โดยได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันไปแล้ว เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2548
ถาม :
การใช้ระบบ Co-Generation มีข้อดีในด้านใดบ้าง ? ตอบ :
การนำระบบ Co-Generation มาใช้กับศูนย์ราชการฯ มีข้อดีต่อภาคส่วนต่างๆ ดังนี้ โครงการศูนย์ราชการฯ มีระบบจ่ายพลังงานที่มั่นคง และยั่งยืนภายในศูนย์ราชการฯ เนื่องจากมีการผลิตกระแสไฟฟ้า ณ บริเวณจุดใช้งาน นอกจากนี้ยังมี ปตท. และ กฟน. ซึ่งเป็น Service Provider ที่มีความเชี่ยวชาญรับหน้าที่ในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบแทน ผู้ให้บริการ ได้แก่ ปตท. และ กฟน. ได้ช่องทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ดี มีอนาคต และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะการลงทุนผลิตไฟฟ้า ณ จุดใช้งานจะมีความคุ้มค่าสูง เนื่องจากช่วยลดการสูญเสียพลังงานระหว่างการส่งผ่านตามสาย ผู้ใช้อาคาร ได้ทำงานในอาคารที่มีอุณหภูมิเย็นสบายตลอดเวลา และแม้ต้องทำงานล่วงเวลาก็ยังได้สัมผัสอุณหภูมิที่ไม่แตกต่างจากเวลาทำงานปกติมาก เนื่องจากมีการเดินเครื่องปรับอากาศตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจาก ปตท. และ กฟน. ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนจัดสร้างระบบผลิตคิดราคาค่าทำความเย็นในอัตราพิเศษ ที่สำคัญที่สุด คือ ประเทศชาติ เพราะ เป็นการสนับสนุนนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล ด้วยการหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานที่ผลิตได้เองภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าพลังงาน และยังเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ระบบนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ก๊าซธรรมชาติอีกด้วย